วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2559
มาเรียนรู้สำนวนสุภาษิตไทยผ่านนิทานกันเถอะ ^^
นิทานสำนวนไทย เรื่อง ฤาษีเลี้ยงลิง
กาลครั้งหนึ่ง… นานมาแล้ว มีฤาษีตนหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าลึก ฤาษีตนนี้ได้เลี้ยงลิงไว้ฝูงหนึ่ง ลิงซุกซนมากจนฤาษีต้องเฆี่ยนตีอยู่เสมอ
วันหนึ่งพระราชาเสด็จมานมัสการฤาษี เห็นฤาษีตีลิงก็รับสั่งว่า "ลิงซนตามธรรมชาติของมัน ไม่ควรต้องเฆี่ยนตี "
ฤาษีก็รับคำว่าจะไม่ตีลิงอีกต่อไป แต่ทูลขอพระราชาให้งดลงอาญาราษฎรด้วย เมื่อไม่มีการลงอาญา คนร้ายก็กำเริบ ก่อความเดือดร้อนไปทั่ว
ฤาษีทูลพระราชาว่า ” ผู้ที่ไม่อยู่ในระเบียบวินัย ย่อมก่อให้เกิดความเดือดร้อน จำเป็นต้องมีการลงโทษ ” จึงเป็นที่ว่าของสำนวน "ฤาษีเลี้ยงลิง "
สำนวน "ฤาษีเลี้ยงลิง" หมายถึง ผู้ที่ปกครองคนหมู่มากที่ขาดระเบียบวินัย ซึ่งจะทำให้เกิดความเดือดร้อน
นิทานสำนวนไทย เรื่อง กระต่ายตื่นตูม
กาลครั้งหนึ่ง กระต่ายตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ใต้ต้นตาล ขณะที่นอนหลับอยู่นั้น เกิดพายุใหญ่ ทำให้ลูกตาลหล่นลงที่พื้นดิน เกือบถูกกระต่าย กระต่ายตกใจตื่นขึ้น คิดว่าฟ้าถล่ม ไม่ทันได้ไตร่ตรองลุกขึ้นได้ก็วิ่งไปอย่างสุดกำลัง เพราะกลัวความตาย สัตว์อื่น ๆ เห็นกระต่ายวิ่งมาจนเต็มกำลังดังนั้น จึงถามกระต่ายว่า “นี่ท่านวิ่งหนีอะไรมา” กระต่ายวิ่งพลางบอกพลางว่า “ฟ้าถล่ม”
สัตว์เหล่านั้นได้ฟังกระต่ายบอก ไม่ทันคิดสำคัญว่าฟ้าถล่มจริง ก็พากันวิ่งตามกระต่ายไป
หกล้ม ขาหัก แข้งหัก โดนต้นไม้ ตกเหวตายบ้างก็มีส่วนที่ยังเหลือก็พากันวิ่งหนีต่อไปอีก
จนกระทั่ง มาพบพญาราชสีห์ตัวหนึ่ง เป็นสัตว์มีปัญญาสัตว์ทั้งหลายพากันวิ่งมาไม่หยุดไม่หย่อจึงร้องถามว่า…“พวกท่านวิ่งหนีอะไรมา”กระต่ายจึงเล่าเรื่องให้ราชสีห์ฟัง ราชสีห์ก็เข้าใจทันที
จึงถามต่อไปว่า “ฟ้าถล่มที่ตรงไหน จงพาเราไปดูสักที”
พอไปถึงใต้ต้นตาลที่กระต่ายนอนพญาราชสีห์พิเคราะห์ดู เห็นลูกตาลตกอยู่ที่โคนต้น
ก็เข้าใจว่าที่แท้เป็นลูกมะตูมตกลงบนใบตาลแห้งจึงเกิดเสียงดังจนเจ้ากระต่ายคิดว่าแผ่นดินถล่มสัตว์ทั้งหลายเกือยต้องเสียชีวิตเพราะเชื่อตามเสียงผู้อื่นโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน
เมื่อรู้สาเหตุแล้วจึงประกาศให้สัตว์ทั้งหลายทราบตามคามเป็นจริง ด้วยความสุขุมรอบคอบรู้จักใช้สติปัญญาไตร่ตรอง พญาราชสีห์จึงสามารถรักษาชีวิตสัตว์ทั้งหลายไว้ได้และนำความสงบสุขมาสู่ป่าใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
สำนวน "กระต่านตื่นตูม" หมายถึง ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการตื่นตกใจง่าย โดยไม่ทันคิดพิจารณาให้ถ่องแท้รอบคอบเสียก่อนว่าเป็นจริงหรือไม่ ถ้าเชื่อโดยไม่ได้พิจารณาให้ถ่องแท้ อาจทำให้เกิดความเสียหายได้
พอไปถึงใต้ต้นตาลที่กระต่ายนอนพญาราชสีห์พิเคราะห์ดู เห็นลูกตาลตกอยู่ที่โคนต้น
ก็เข้าใจว่าที่แท้เป็นลูกมะตูมตกลงบนใบตาลแห้งจึงเกิดเสียงดังจนเจ้ากระต่ายคิดว่าแผ่นดินถล่มสัตว์ทั้งหลายเกือยต้องเสียชีวิตเพราะเชื่อตามเสียงผู้อื่นโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน
เมื่อรู้สาเหตุแล้วจึงประกาศให้สัตว์ทั้งหลายทราบตามคามเป็นจริง ด้วยความสุขุมรอบคอบรู้จักใช้สติปัญญาไตร่ตรอง พญาราชสีห์จึงสามารถรักษาชีวิตสัตว์ทั้งหลายไว้ได้และนำความสงบสุขมาสู่ป่าใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
สำนวน "กระต่านตื่นตูม" หมายถึง ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการตื่นตกใจง่าย โดยไม่ทันคิดพิจารณาให้ถ่องแท้รอบคอบเสียก่อนว่าเป็นจริงหรือไม่ ถ้าเชื่อโดยไม่ได้พิจารณาให้ถ่องแท้ อาจทำให้เกิดความเสียหายได้
สำนวนสุภาษิตไทย
สำนวนสุภาษิตนั้นมีมากมาย แต่ครูจะยกตัวอย่างมาบางสำนวน ดังนี้
1. อดเปรี้ยวกินหวาน
สำนวนสุภาษิต "อดเปรี้ยวกินหวาน " สำนวนนี้มักใช้ในการให้หนุ่มสาวอดทนอย่าเพิ่งรีบมีความสัมพันธ์กันเร็วไป ให้รอจนสำเร็จการศึกษาเสียก่อน โดยความหมายทั่วไปหมายถึง การอดทนรอไม่คว้าสิ่งที่ล่อใจอยู่ตรงหน้า เพื่อต่อไปสิ่งนั้นๆจะให้ผลลัพธ์กลับมาที่มีค่ามากยิ่งขึ้น
2. กบเลือกนาย
สำนวนสุภาษิต " กบเลือกนาย" หมายถึง การช่างเลือก ช่างสรรหาเพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่ตนหวังหรือมีความต้องการ เป็นคนเลือกมาก แต่ท้ายสุดกลับได้ของที่ไม่ต้องการหรือไม่มีค่าอะไรเลย
3. กระต่ายตื่นตูม
สำนวนสุภาษิต ” กระต่ายตื่นตูม ” ความหมาย สำนวนนี้หมายถึงอาการตื่นตกใจในเหตุการณ์ที่สรุปขึ้นเองอย่างไม่มีเหตุผล ตื่นตกใจโดยไม่คิดถึงเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ด่วนสรุปอะไรง่ายๆ
4. กำแพงมีหูประตูมีช่อง
สำนวนสุภาษิต ” กำแพงมีหูประตูมีช่อง “ หรือ “กำแพงมีหู ประตูมีตา” ความหมาย สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึง สิ่งใดที่เป็นความลับเวลาจะพูดออกไปจะต้องระมัดระวังให้มาก เพราะอาจมีผู้อื่นได้ยินแล้วนำเอาความลับนั้นไปเปิดเผย
5. กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา
สำนวนสุภาษิต "กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา" ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึง ไม่รู้จักบุญคุณผู้อุปการะเลี้ยงดูหรือเนรคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ และนำความเดือดร้อนมาให้ผู้มีพระคุณ เปรียบได้กับคนที่อาศัยพักพิงบ้านเขาอยู่แล้ว คิดทำมิดีมิชอบให้เกิดขึ้นภายในบ้านนั้น ทำให้เจ้าของบ้านที่ให้อาศัยต้องเดือดร้อน
6. เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน
สำนวนสุภาษิต "เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน" ความหมาย สำนวนนี้หมายถึงการรู้จักเก็บเงินที่ละเล็กทีละน้อย ไม่ช้าก็เป็นกอบเป็นกำ หรือการจะทำงานเล็กใหญ่ ก็พยายามค่อยๆ ทำให้ดีขึ้นแม้เล็กน้อยๆ เมื่อรวมกันและใช้เวลาก็จะทำให้การงานนั้นเห็นผลเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้
7. ขวานผ่าซาก
สำนวนสุภาษิต “ ขวานผ่าซาก ” ความหมาย สำนวนนี้หมายถึง พูดตรงๆอย่างจริงใจ แต่มักพูดโดยไม่เลือกกาลเทศะและบุคคล ทำให้ไม่เป็นที่พอใจแก่ผู้อื่น
8. ขายผ้าเอาหน้ารอด
สำนวนสุภาษิต “ ขายผ้าเอาหน้ารอด ” ความหมาย สำนวนนี้หมายถึง ทำให้งานนั้นเสร็จพ้นๆไป แต่ไร้คุณภาพ เพียงเพราะอยากรักษาชื่อเสียงของตนไว้ หรือหมายถึง ยอมสละของจำเป็นที่มีอยู่ เพื่อรักษาชื่อเสียงของตนไว้หรือใช้เพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้เอาตัวรอดไปก่อน
9. ขิงก็รา ข่าก็แรง
สำนวนสุภาษิต “ ขิงก็รา ข่าก็แรง ” ความหมาย สำนวนนี้หมายถึงต่างฝ่ายต่างไม่ถูกกัน ไม่ยอมซึ่งกันและกัน เจอกันทีไรก็ทะเลาะกันอย่างรุนแรง
10. ขี่ช้างจับตั๊กแตน
สำนวนสุภาษิต “ ขี่ช้างจับตั๊กแตน ” ความหมาย สำนวนนี้หมายถึงการลงทุนลงแรงหรือเวลาเป็นจำนวนมากจนเกินความจำเป็น เพื่อทำในสิ่ง ที่จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจำนวนน้อยนิด
11. ข้าวใหม่ปลามัน
สำนวนสุภาษิต ” ข้าวใหม่ปลามัน ” ความหมาย สำนวนนี้หมายถึงของใหม่ๆอะไรก็ดูดีไปหมด ซึ่งสำนวนนี้มักใช้เปรียบเทียบสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ความรักยังหวานชื่นอะไรๆก็หอมหวานไปซะหมด
12. ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
สำนวนสุภาษิต ” ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด ” ความหมาย สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึงมีความรู้มากแต่ไม่สามารถนำความรู้มาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองได้
13. ฆ่าช้างเอางา
สำนวนสุภาษิต "ฆ่าช้างเอางา" ความหมาย สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึงการทำลายสิ่งที่มีค่ามาก เพื่อให้ได้ของที่มีค่าน้อยนิด หรือการกระทำที่ทำลายสิ่งสำคัญสิ่งที่มีค่ามากมาย เพื่อให้ได้สิ่งที่ไม่คุ้มค่า โดยไม่คิดเลยว่าการกระทำนั้นสมควรหรือไม่
14. จับเสือมือเปล่า
สำนวนสุภาษิต "จับเสือมือเปล่า" ความหมาย สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึงการทำประโยชน์ใดๆโดยไม่ต้องลงทุน โดยอาจใช้ความสามารถหรือทรัพยากรของคนอื่น เพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์
15. ชักใบให้เรือเสีย
สำนวนสุภาษิต “ ชักใบให้เรือเสีย ” ความหมาย สำนวนนี้หมายถึงการพูดหรือการกระทำที่แสดงออกมาในเหตุการณ์นั้นๆ ทำให้เรื่องในเหตุการณ์นั้นๆต้องออกนอกเรื่อง หรือผิดประเด็นออกไปในทางที่ไม่ดี โดยไม่คิดว่าจะส่งผลอย่างไรกับคนที่อยู่รอบข้าง
16. ซื่อเหมือนแมวนอนหวด
สำนวนสุภาษิต " ซื่อเหมือนแมวนอนหวด " ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึงคนที่แสดงออกเป็นคนซื่อ แต่ภายในแล้วมีความเจ้าเล่ห์
17. ตีตนไปก่อนไข้
สำนวนสุภาษิต " ตีตนไปก่อนไข้ " ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึง การวิตกกังวลหรือแสดงอาการกลัวไปก่อนที่เหตุการณ์จริงจะเกิด ทั้งๆเหตุการณ์นั้นๆอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้
18. ถอยหลังเข้าคลอง
สำนวนสุภาษิต “ ถอยหลังเข้าคลอง ” ความหมาย สํานวนสุภาษิตนี้หมายถึงหวนกลับไปหาแบบเดิม หรือ ถอยหลังตกต่ำไปจากเดิม ไม่พัฒนาแล้วแถมยังตกต่ำลงเรื่อยๆ
การแบ่งประเภทสำนวนสุภาษิตไทย
การแบ่งประเภท
การแบ่งตามมูลเหตุ
1. หมวดที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น ตื่นแต่ไก่โห่ ปลากระดี่ได้น้ำ แมวไม่อยู่หนูร่าเริง ไก่แก่แม่ปลาช่อน
2. หมวดที่เกิดจากการกระทำ เช่น ไกลปืนเที่ยงสาวไส้ให้กากิน ชักใบให้เรือเสีย ปิดทองหลังพระ สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
3. หมวดที่เกิดจากสภาพแวดแวดล้อม เช่น ตีวัวกระทบคราด ใกล้เกลือกินด่าง ฆ่าควายอย่าเสียดายพริก
4. หมวดที่เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ
5. หมวดที่เกิดจากระเบียบแบบแผนประเพณีความเชื่อ เช่น กงเกวียนกำเกวียน คู่แล้วไม่แคล้วกัน ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่
6. หมวดที่เกิดจากความประพฤติ เช่น หงิมหงิมหยิบชิ้นปลามัน ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา คบคนดูหน้าซื้อผ้าดูเนื้อ ขี้เกียจสันหลังยาว
มีเสียงสัมผัส
คำสัมผัส เช่น คอขาดบาดตาย มั่งมีศรีสุข ทำมาค้าขาย
6–7 คำสัมผัส เช่น ปากเป็นเอก เลขเป็นโท คดในข้องอในกระดูก แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร ขิงก็ราข่าก็แรง
8–9 คำสัมผัส เช่น ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา
ไม่มีเสียงสัมผัส
2 คำเรียงกัน เช่น กัดฟัน ของร้อน ก่อหวอด1.หมวดที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น ตื่นแต่ไก่โห่ ปลากระดี่ได้น้ำ แมวไม่อยู่หนูร่าเริง ไก่แก่แม่ปลาช่อน
3 คำเรียงกัน เช่น ไกลปืนเที่ยง ก้างขวางคอ ดาบสองคม พริกกับเกลือ
4 คำเรียงกัน เช่น ใกล้เกลือกินด่าง ผักชีโรยหน้า เข้าด้ายเข้าเข็ม
5 คำเรียงกัน เช่น ชักแม่น้ำทั้งห้า ลางเนื้อชอบลางยา ขว้างงูไม่พ้นคอ
6–7 คำเรียงกัน เช่น ยกภูเขาออกจากอก วันพระไม่มีหนเดียว ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
ความหมายของสำนวนสุภาษิตไทย
สุภาษิต
หมายถึง คำกล่าวที่มีคติควรฟัง มีจุดมุ่งหมายเพื่อการสั่งสอน เตือนสติให้ได้คิด แบ่งออกเป็นสองประเภท คือ
1. เมื่ออ่าน หรือ ฟังแล้วสามารถเข้าใจเนื้อความได้ทันที โดยไม่ต้องแปลความหมาย ตีความหมายเช่น ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง 2. เมื่ออ่าน หรือ ฟังแล้ว ไม่สามารถเข้าใจเนื้อความนั้นในทันที ต้องนึกตรึกตรอง ต้องแปลความ ตีความหมายเสียก่อนจึงจะทราบเนื้อแท้ของคำเหล่านั้น เช่น ผีบ้านไม่ดีผีป่าก็พลอย
สำนวน
หมายถึง โวหาร ทำนองพูด ถ้อยคำที่เรียบเรียง ถ้อยคำที่ไม่ถูกไวยากรณ์แต่รับใช้เป็นภาษาที่ถูกต้อง การแสดงถ้อยคำออกมาเป็นข้อความพิเศษเฉพาะภาษาหนึ่ง ๆ
สํานวนไทย จะมีความหมายโดยนัย เป็นลักษณะความหมายเชิงอุปมาเปรียบเทียบ จะไม่แปลความหมายตรงตามตัวอักษร จึงฟังแล้วมักจะ ไม่ได้ความหมายของตัวมันเอง ต้องนำไปประกอบกับบุคคล กับเรื่อง หรือเหตุการณ์จึงจะได้ความหมายเป็น คติ เตือนใจเช่นเดียวกับคำที่เป็นสุภาษิต
คำพังเพย
หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นมา แฝงคติเตือนใจหรือ ข้อคิดสะกิดใจให้นำไปปฏิบัติได้ เป็นความหมายกลาง ๆ คือ ไม่เน้นการสั่งสอน และ เนื้อหาของใจความนั้นก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นความดี หรือ ความจริงแท้ แน่นอน
ความแตกต่างของ สุภาษิต สำนวน และคำพังเพย
สุภาษิต จะไม่มีการเสียดสีหรือติชมอย่างคำพังเพย เป็นถ้อยคำที่แสดงหลักความจริง เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่ว ๆ ไป ภาษิตนี้ยังมีความหมายรวมไปถึง สัจธรรม คำสั่งสอนที่เป็นความจริงอันเที่ยงแท้ทางศาสนาด้วย เช่น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เป็นต้น
วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2559
ที่มาสำนวนสุภาษิตไทย
สำนวน สุภาษิตไทย รวมถึงคำพังเพยนั้น นิยมใช้กันมาอย่างยาวนานและแพร่หลาย นับเป็นอีกหนึ่งในวัฒนธรรมที่น่าภาคภูมิใจของไทยเรา สำนวนไทย สุภาษิตไทยและคำพังเพยนั้น เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้น ทั้งทางดีและทางร้าย จนมีการนำสิ่งที่เกิดขึ้นมาเรียบเรียงถ้อยคำใหม่ในเชิงสั่งสอนหรือเปรียบเทียบ จนเกิดเป็นสํานวนไทย สุภาษิต คำพังเพย และ สุภาษิตสำนวนไทยในที่สุด
สำนวน สุภาษิต คำพังเพยนั้น ดูเผินๆจะคล้ายกันมากจนแยกกันแทบไม่ออก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทั้ง 3 คำมีความแตกต่างกันอยู่ โดยที่สํานวนไทยจะเป็นการพูดเชิงเปรียบเทียบและมักจะไม่แปลความหมายตรง ๆ เช่น กินน้ำใต้ศอก ส่วนสุภาษิตจะเป็นเชิงสั่งสอนหรือให้ข้อคิด เช่น หัวล้านได้หวี วานรได้แก้ว และสุดท้ายคำพังเพย จะเป็นลักษณะของการเปรียบเทียบของสองสิ่ง เช่น กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ เป็นต้น
ที่มาของสำนวนไทยนั้นมี 6 ประภท ดังนี้
1. ที่มาจากธรรมชาติ
เป็นสำนวนที่เทียบเคียงมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดังตัวอย่าง
2. ที่มาจากวัฒนธรรมการดำรงชีวิต
เช่น ปัจจัยสี่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย พาหนะ เป็นต้น ดังตัวอย่าง
สำนวน สุภาษิต คำพังเพยนั้น ดูเผินๆจะคล้ายกันมากจนแยกกันแทบไม่ออก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทั้ง 3 คำมีความแตกต่างกันอยู่ โดยที่สํานวนไทยจะเป็นการพูดเชิงเปรียบเทียบและมักจะไม่แปลความหมายตรง ๆ เช่น กินน้ำใต้ศอก ส่วนสุภาษิตจะเป็นเชิงสั่งสอนหรือให้ข้อคิด เช่น หัวล้านได้หวี วานรได้แก้ว และสุดท้ายคำพังเพย จะเป็นลักษณะของการเปรียบเทียบของสองสิ่ง เช่น กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ เป็นต้น
ที่มาของสำนวนไทยนั้นมี 6 ประภท ดังนี้
1. ที่มาจากธรรมชาติ
เป็นสำนวนที่เทียบเคียงมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดังตัวอย่าง
2. ที่มาจากวัฒนธรรมการดำรงชีวิต
เช่น ปัจจัยสี่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย พาหนะ เป็นต้น ดังตัวอย่าง
3. ที่มาจากวัฒนธรรมทางสังคม
เช่น การทำมาหากิน การกระทำ ประเพณี การละเล่น การศึกษา การเมืองการปกครอง เป็นต้น ดังตัวอย่าง
4. ที่มาจากวัฒนธรรมทางจิตใจ
เช่น ทางศาสนาและความเชื่อ ดังตัวอย่าง
5.ที่มาจากวัฒนธรรมทางศิลปะ
เช่น การแสดง ดนตรี เป็นต้น ดังตัวอย่าง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)